เข้าใจโรคหัวใจ รู้ก่อน รักษาทัน ป้องกันได้

       หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญมากของร่างกาย เพราะหัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะทุก ๆ ส่วนของร่างกาย จึงทำให้หัวใจเป็นอวัยวะที่ต้องทำงานหนักตลอดเวลา หัวใจเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีส่วนประกอบย่อย ๆ หลาย ๆ ส่วน เช่น ลิ้นหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ รวมไปถึงระบบไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งการที่หัวใจจะทำงานได้อย่างปกติได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ทำงานหรือต้องอยู่ในภาวะปกติด้วย 



โรคหัวใจคืออะไร?

       โรคหัวใจ (heart disease) หมายถึง โรคหรือความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจ การนำไฟฟ้าของหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งส่งผลให้การทำงานของหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายโรค ซึ่งแต่ละโรคมีสาเหตุและอาการแสดงที่แตกต่างกันออกไป


สัญญาณเตือนโรคหัวใจมีอะไรบ้าง?

       แม้ว่าโรคหัวใจจะมีหลายโรค แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจมักมีอาการที่เป็นสัญญาณเตือน ซึ่งหากสงสัย หรือพบว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

       1. เจ็บหน้าอก (Angina): เป็นอาการที่พบมากที่สุด ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บแน่นหรือรู้สึกว่ามีของมากดทับบริเวณกลางหน้าอกหรือด้านซ้ายของหน้าอก
       2. หายใจไม่ออก (Shortness of Breath): รู้สึกหายใจไม่เต็มที่ หายใจลำบาก อาการนี้อาจเกิดขึ้นระหว่างทำกิจกรรมหรือในขณะที่ นั่ง หรือนอนพักก็ได้
       3. ใจสั่น (Palpitations): รู้สึกใจเต้นเร็ว ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หรือใจเต้นแรงผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
       4. อ่อนเพลีย (Fatigue): รู้สึกเหนื่อยล้าโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน 
       5. เหงื่อออกมากผิดปกติ (Excessive Sweating): เหงื่อออกมากแม้ไม่ได้ออกกำลังกายหรืออยู่ในสภาพอากาศร้อน อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจ
       6. คลื่นไส้หรืออาเจียน (Nausea or Vomiting): อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการเจ็บหน้าอก 
       7. เวียนศีรษะหรือหน้ามืด (Dizziness or Lightheadedness): รู้สึกเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือรู้สึกเหมือนจะกำลังหมดสติ 
       8. ขาหรือข้อเท้าบวม (Swelling in Legs, Ankles, or Feet): การบวมที่ขาหรือข้อเท้าอาจเกิดจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
       9. ปวดในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (Pain in Different Parts of the Body): อาจรู้สึกปวดหรือไม่สบายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อาการเหล่านี้มักเกิดร่วมกับอาการเจ็บหน้าอก


โรคหัวใจเกิดจากอะไร?

       1. สาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
       สาเหตุที่พบบ่อยของโรคหลอดเลือดหัวใจเกิดจากการสะสมของคราบไขมันและเซลล์อักเสบต่าง ๆ  ที่ผนังของหลอดเลือดแดงที่ส่งไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงหรือตีบตัน ขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ เกิดเป็นภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตายได้       


       2. สาเหตุของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
       สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาจเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ ความดันสูง ประวัติพันธุกรรม โรคลิ้นหัวใจ ภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ภาวะหัวใจวาย การใช้ยาบางชนิด โรคของต่อมไทรอยด์ รวมไปถึงโรคนอนกรนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ     


       3. สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
       เป็นโรคที่มีการพัฒนาโครงสร้างหัวใจผิดปกติหรือไม่สมบูรณ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์อาจเกิดจากมีโครโมโซมหรือพันธุกรรมที่ผิดปกติ การดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ รวมไปถึงการเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิดของมารดาขณะตั้งครรภ์ด้วย     


       4. สาเหตุของโรคลิ้นหัวใจ
       เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ โรคไข้รูมาติก โรคทางพันธุกรรม โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายที่ส่งผลต่อลิ้นหัวใจ อายุที่มากขึ้น ความผิดปกติของลิ้นหัวใจตั้งแต่เกิด เป็นต้น     


       5. สาเหตุของโรคของกล้ามเนื้อหัวใจ
       เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากโรคหรือการติดเชื้อบางอย่าง  โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การตั้งครรภ์ การให้ยาเคมีบำบัด การใช้สารเสพติด และสาเหตุทางพันธุกรรม     


       6. สาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย
       มักมีสาเหตุจากโรคของระบบอื่น ๆ หรือโรคหัวใจอื่น ๆ ที่รุนแรงจนทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวตามมา เช่น การบาดเจ็บหรือติดเชื้อภายในหัวใจ ความดันสูง โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหลอดเลือดหัวใจรวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ     


       7. สาเหตุของโรคของเยื่อหุ้มหัวใจ
       สามารถเกิดได้จากการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจหลังการเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ โรคมะเร็งบางชนิด การอุดตันของของเหลวภายในเยื่อหุ้มหัวใจหรือเกิดการคั่งของเลือดในเยื่อหุ้มหัวใจ อย่างไรก็ตามในบางกรณีก็ไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคได้แน่ชัด


ใครบ้างเสี่ยงโรคหัวใจ 

        ● ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ : หากมีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคหัวใจ จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
        ● ผู้สูงอายุ : อายุที่มากขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอายุเกิน 45 ปี และผู้หญิงที่มีอายุเกิน 55 ปี
        ● ผู้ชาย : ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงในการเกิดโรคหัวใจในช่วงวัยกลางคน
        ● ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง : ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และทำให้มีภาวะหัวใจโตได้
        ● ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง : คอเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) สามารถนำไปสู่การสะสมของไขมันในหลอดเลือด
        ● ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน : ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจ เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงสามารถทำลายหลอดเลือด
        ● ผู้ที่สูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจอย่างมาก เพราะสารพิษในบุหรี่ทำลายหลอดเลือด
        ● ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน : น้ำหนักเกินเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากเพิ่มความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล
        ● ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย : การขาดการออกกำลังกายทำให้สุขภาพหัวใจแย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ
        ● ผู้ที่มีความเครียดสูง : ความเครียดที่สะสมสามารถทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ
        ● ผู้ที่รับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ : การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เกลือ และน้ำตาลสูงเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ


การวินิจฉัยโรคหัวใจ

       การวินิจฉัยโรคหัวใจสามารถทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การซักประวัติ ตรวจร่างกายการสอบถามประวัติครอบครัว และอาการแสดงอื่น ๆ อย่างละเอียด เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาการวินิจฉัยเบื้องต้น แพทย์มักจะส่งตรวจด้วยวิธีการอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำมากขึ้น เช่น การตรวจเลือด การเอกซเรย์ทรวงอก และการตรวจพิเศษทางหัวใจด้วยเครื่องมืออื่น ๆ ตามความเห็นของแพทย์ เช่น

       1. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography; ECG)
       2. 
การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (echocardiogram; Echo) หรือการอัลตราซาวนด์หัวใจ
       3. การเดินสายพานตรวจสมรรถภาพหัวใจ (exercise stress test; EST)
       4. การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiography; CAG) 
       5. การตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (coronary CT angiography; CT scan)
       6. การตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้า (cardiac magnetic resonance imaging; CMR)
       7. การติดเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ 24 หรือ 48 ชั่่วโมง (holter monitoring)


การรักษาโรคหัวใจ

       การรักษาโรคหัวใจสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของโรคหัวใจแต่ละโรคซึ่งแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจจะทำการพิจารณาและประเมินการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้การรักษามากกว่า 1 วิธี ทั้งนี้แพทย์ต้องพิจารณาการรักษาเป็นราย ๆ ไป ซึ่งการรักษาโรคหัวใจประกอบด้วย


       1. การรักษาด้วยยา โดยพิจารณาจากโรคหัวใจที่ผู้ป่วยเป็น ผู้ป่วยโรคหัวใจควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง และไม่ควรหยุดรับประทานยาหรือปรับขนาดของยาที่กินด้วยตัวเอง เพราะจะมีผลต่อการรักษา และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาภายหลังได้    


       2. การรักษาด้วยการผ่าตัดหรือทำหัตถการ เช่น การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและขดลวด (PCI) การจี้หัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด (EP study) การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจชนิดถาวร (permanent pacemaker) การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (implantable cardioverter defibrillator; ICD) การผ่าตัดซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม และการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery bypass grafting; CABG) เป็นต้น      


       3. การรักษาด้วยกายภาพและเวชศาสตร์ฟื้นฟู เป็นโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคหัวใจโดยการดูแลของแพทย์และนักกายภาพบำบัด เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกายให้หัวใจกลับมาทำงานได้ดีขึ้น


การป้องกันโรคหัวใจ

การป้องกันโรคหัวใจสามารถทำได้โดย

       1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น 
       2. 
ทำอารมณ์ให้แจ่มใส หลีกเลี่ยงความเครียด
       3. เลือกรับประทานอาหารที่มีเกลือและไขมันอิ่มตัวต่ำ
       4. ควบคุมความดันเลือด
       5. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และระดับไขมันให้อยู่ในค่าปกติ
       6. งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
       7. ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้งอย่างสม่ำเสมอ
       8. ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง
       9. พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง


       โรคหัวใจถือเป็นโรคใกล้ตัว สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และปัจจุบันมีแนวโน้มการเกิดโรคหัวใจในคนที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ เป็นโรคที่เป็นสาเหตุการตายของคนไทยเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็ง เพราะการใช้ชีวิตในปัจจุบันทำให้เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากขึ้น 

       ดังนั้นการดูแลตัวเอง การสังเกตอาการผิดปกติที่เข้าข่ายอาการของโรคหัวใจ การตรวจคัดกรองโรคหัวใจเป็นประจำสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันและช่วยให้ตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งส่งผลให้การรักษาง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และหากเป็นโรคหัวใจแล้ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ มารับการตรวจติดตามตามนัด รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ และหากต้องรับประทานยาที่มีผลต่อหัวใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย รวมทั้งดูแลสุขภาพ ควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ